ตามเค้าไป ทั้งกิน ทั้งเที่ยว กรุงเทพ-เชียงใหม่-เชียงราย

ตามเค้าไป ทั้งกิน ทั้งเที่ยว กรุงเทพ-เชียงใหม่-เชียงราย

ทริปนี้เป็นทริปเฉพาะกิจที่ติดตาม บล็อคเกอร์ที่ชนะการโหวตจาก TATNewsroom คุณเจนาวี่   Genevieve Pendrageon เพื่อเป็นช่างภาพเฉพาะกิจ และผู้ติดตาม ( Genevieve อ่านออกเสียงว่า เจ-นา-วี่ หลาย ๆ คนออกเสียงชื่อชีผิด ว่า จี-นีฟ ชีนอยจนเลิกนอย เลยต้องขออนุญาติแนะนำชื่ออย่างถูกต้องก่อน 🙂  คุณแม่ขอร้องมา)

เริ่มทริปวันแรก จุดนัดพบแรกคือที่โรงแรม Novotel Sukhumvit 20 เพื่อเช็คอินและเข้าพักในคืนแรก

 

 

จากนั้นเดินทางไปทานอาหารค่ำที่ร้าน Eat Sight Story ริมแม่น้ำเจ้าพระยา กับวิวตรงหน้าคือวัดอรุณ และการที่ต้อนรับที่แสนจะอบอุ่นจาก การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย TATNewsroom

Wat Arun
วัดอรุณ เวลากลางคืน เสียดายที่ฝนตก

 

ทุกคนพร้อมกันที่หน้าโรงแรมเวลา 5.00 น. เพื่อเดินทางไปเชียงราย โดยสายการบินไทยสไมล์ Thai Smile Airways และทริปแรกที่เราจะไปกันในวันนี้คือ ดอยแม่ฟ้าหลวง หรือ ดอยตุง  สิ่งแรกที่ทำคือหยิบกล้องขึ้นมาถ่ายรูปในทันที บรรยากาศกำลังสบาย ๆ ไม่ร้อนมากนัก โชคดีเป็นอย่างมากที่ฝนไม่ตก ไม่อย่างนั้นคงจะไม่ได้รูปถ่ายสวยๆ กลับบ้าน เดินชมบรรยากาศรอบนอก และภายในตำหนักแล้ว อยากมีบ้านอยู่ที่เชียงรายกันเลยทีเดียว ก่อนเดินทางต่อไปยังสถานที่อื่น ทาง TATNewsroom ได้จัดเตรียมอาหารกลางวันให้กับทีมงานและบล็อกเกอร์ทุกท่าน ต้องบอกเลยว่า เริ่มต้นทริปก็อิ่มจนพุงกางเสียแล้ว และที่ไม่ลืมและไม่ควรพลาดเมื่อมาถึงดอยตุงคือต้อง ดื่มกาแฟ Iced Macadamia nut latte เมนูนี้ขอแนะนำเลยเพราะนอกจากรสชาติจะไม่หวานมากนัก ทางร้านยังให้ท้อปปิ้ง Maccadamia เยอะจน ไม่อยากทิ้งร้านกาแฟไปไหนเลย

หลังจากทานอาการกลางวันเรียบร้อย ก็เริ่มเดินทางต่อไปที่ พิพิธภัณฑ์บ้านดำ Baandam Museum

ครั้งนี้เป็นครั้งที่สาม ที่ได้เดินทางมาที่บ้านดำ และครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ฝนไม่ตก ทำให้ได้เก็บภาพแบบท้องฟ้าใสใสสวยๆ ตัดกับสีดำของบ้านดำที่ดูเด่นตาด้วยศิลปะแบบล้านนา ที่สร้างโดยอาจารย์ถวัล ดัชนีย์


จากนั้นเดินทางต่อไปยัง สิงห์ปาร์ค Singha Park  หรือ ไร่บุญรอด มาเชียงรายก็หลายครั้ง ขับรถผ่านสิงห์ปาร์คไปมาก็หลายครั้ง แต่นี่เป็นครั้งแรกที่จะได้แวะเข้าไปสิงห์ปาร์ค จุดแรกคือกระโดดหอ Singha park zipline  ณ จุดนี้คือไม่ได้ลองเล่น มัวแต่ถ่ายรูปโดยรอบ ๆ ของสิงห์ปาร์คมากกว่า บวกกับความเหนื่อยล้าของทริปที่เริ่มตั้งแต่เช้ามืดของวัน จนค่อนข้างหมดแรง ดีที่ได้ความอึดจาก class body combat มาช่วยก็งานนี้แหละ  แต่ก็ต้องยอมรับว่าเป็นทริปที่คุ้มค่าและสนุกมากเลยทีเดียว

และแล้วก็ถึงเวลาทีรอคอย อาหารมื้อค่ำ ที่ร้านภูภิรมย์  กับวิวขุนเขาสีเขียวที่สลับไปมาสวยงามด้านหลัง และไร่ชาสีเขียวด้านหน้า กับอาหารที่อร่อยจนลืมความเหนื่อยล้าทั้งวันไปกันเลยทีเดียว

พอหนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนขึ้นมาทันที แต่การเดินทางของเราในวันนี้ยังไม่จบ เราไปกันต่อ สถานที่ที่มาเชียงรายแล้วไม่ไปไม่ได้คือ หอนาฬิกาเชียงราย ที่ออกแบบโดยอาจารย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ซึ่งจะบอกเวลาทุกวันเวลา 19.00, 20.00, 21.00 ไฟของนาฬิกาจะเปลี่ยนสีพร้อมกับเสียงเพลงเชียงรายรำลึก

ก่อนเดินทางเพื่อไปเช็คอินที่โรงแรมสำหรับคืนนี้ ทางทีมงาน ได้แวะพาบล็อกเกอร์ไปที่ถนนคนเดินเชียงราย บรรยากาศก็ไม่ต่างจากตลาดนัดคนเดินทั่วๆไป แต่สิ่งที่ต่างคืออาหารพื้นเมืองของที่นี่ และสำเนียงการพูดจาของคนขายที่ลงท้ายด้วย จ้าว ฟังแล้วเพราะหูจัง  อยากรู้จังเวลาคนขายโมโหเค้าจะมีจ้าวลงท้ายไหม ฮ่าๆๆ

จบการเดินทางของวันนี้ ทางทีมงานของ TATNewsroom และ บล็อกเกอร์ทุกท่าน

เช็คอินเข้าพักที่โรงแรม Imperial River House Chiang Rai

วันที่สองของการเดินทาง ทานอาหารเช้าที่ห้องอาหารของโรงแรม Imperial River House Chiang Rai

ก่อนเดินทางในวันที่สองก็พุงกางซะแล้ว เติมพลังของวันใหม่แบบเต็มที่กันเลยทีเดียว ที่แรกของวันนี้คือวัดร่องขุน ที่ออกแบบและก่อสร้างโดย อาจาย์เฉลิมชัย โฆษิตพิพัฒน์ ตั้งแต่ปี พ.ศ.2540 ซึ่งได้แรงบันดาลใจมากจาก ชาติ ศาสนา และพระมหากษัตริย์  วัดร่องขุน เปิดทำการทุกวัน ตั้งแต่เวลา 6.30 น. ถึงเวลา 18.00 น.

บรรยากาศในการเดินทางเริ่มต้นของวันนี้ฟ้าฝนไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ แต่ก็ไม่ใช่อุปสรรคสำหรับการเดินทางในครั้งนี้ ทุกคนเดิมชมวัดร่องขุนและ เก็บภาพความประทับใจ รวมถึงบางคนยังได้พบกับอาจารย์เฉลิมชัยภายในวัดร่องขุนในครั้งนี้อีกด้วย นอกจากความสวยงามรอบนอกของวัดร่องขุนแล้ว ด้านนอกของวัดยังมีห้องจัดแสดงงานศิลปะและของสะสมต่าง ๆ ของอาจารย์เฉลิมชัยให้ได้ชมกันอีกด้วย ต้องบอกเลยว่า ภาพวาดของท่านสร้างความประทับใจกับเราไม่น้อยเลยทีเดียว

จบจากวัดร่องขุน เราเดินทางต่อกันทันทีเพื่อไปที่จังหวัดเชียงใหม่ ระหว่างทางแวะทานข้าวที่ ร้านอาหารริมธารบ้านเมี่ยง บรรยากาศดี อาหารอร่อย และมีน้ำตกที่ต้องขอเก็บความภาพความประทับใจกลับไปสักหน่อย   เนื่องจากฝนตกตลอดทาง ทำให้เราไม่สามารถใช้ขาตั้งกล้องในการถ่ายภาพน้ำตกได้ ถึงจะอิ่มแล้วกับอาหารที่ทาง TATNewsroom จัดไว้ให้กับผู้ร่วมเดินทางทุกท่าน แต่มือก็ยังสั่นอยู่ดี 🙂 (เอ๊ะหรือจะเป็นข้ออ้าง 555)

ที่ที่สองที่ทาง TATNewsroom จะพาเราไปคือ ชุมชนบ้านไร่กองขิง ระหว่างทางที่รถขับเข้ามาในหมู่บ้าน เราจะเห็นถึงความสะอาดของหมู่บ้านที่ไม่มีกองขยะให้เห็นเลยแม้แต่น้อย บ้านเรือนในชุมชน ส่วนใหญ่จะเห็นแต่การปลูกผักสวนครัว ตลอดทางที่รถผ่านเข้ามา ทำให้นึกในใจว่า ถ้าเป็นเราพักอาศัยอยู่ที่นี่ ก็คงต้องปลูกผัก สวนครัวไว้กินเองเช่นกัน บรรยากาศร่มเย็น และฝนตกพร่ำๆ ได้กลิ่นไอดิน ที่หายากนักในกรุงเทพ เมื่อทางทีมงาน เดินทางมาถึง ก็ได้รับความประทับใจจากการต้อนรับที่อบอุ่นของคนในชุมชนที่บ้านของพ่อหลวงและแม่หลวง การต้อนรับด้วยใบเตยที่สานเป็นพู่สวยงาม ส่งกลิ่นหอม และการแต่งตัวแบบพื้นบ้านของคนในชุมชน พร้อมกับน้ำสมุนไพรให้ดื่มเย็นชื่นใจ กลิ่นหอมของขนม และอาหารพื้นเมืองที่เตรียมไว้ให้กับบล็อกเกอร์ที่ทุกท่านได้ลองทำและลองชิม สัญญาณเตือนภัยในท้องก็ส่งเสียงออกมากันเลยทีเดียว ( เพิ่งจะทานอาหารเที่ยงไปเองนะ ) นอกจากจะได้ลองทำขนมต่างๆ แล้ว ยังมีสิ่งที่เป็นไฮไลท์ของที่นี่ คือการนวดแผนโบราณ นวดไทย นวดบำบัด และการนวดแบบโบราณล้านนาที่เรียกว่า “ย่ำขาง” การนวดต้องเอาเท้าลงไปชุบกับน้ำไพลหรือ น้ำมันงาแล้วย่ำลงบนขางที่เผาไฟจนกลายเป็นสีแดงร้อน จากนั้นจึงไป ย่ำบนร่างกายผู้ที่ต้องการนวด พร้อมทั้งเสกคาถาอาคมกำกับ ผู้ที่จะเป็นหมอข่างได้นั้น ต้องผ่านการฝึกฝนจนชำนาญจึงจะทำได้

จจจจแSave

Save

Save

Save

Save

Save

Save

Save

Save

Save

Save

Save

Save

Save

Save

Save

จบจากกิจกรรมที่ บ้านไร่กองขิง เราเดินทางกันต่อเพื่อไปเช็คอินที่โรงแรม Ratilanna Riverside Spa Resort Chiang Mai เพื่อพักผ่อนก่อนที่จะเริ่มกิจกรรมอื่นในตอนค่ำ




หลังจากได้พักผ่อนนอนหลับกันตามอัธยาศัยแล้ว ก็ถึงเวลาอาหารค่ำ ทางทีมงาน TATNewsroom พาทุกคนไปทานอาหารที่  Cuisine de garden ต้องบอกก่อนว่าทางที่จะไปร้านอาหาร เป็นลักษณะเหมือนทางเข้าหมู่บ้านธรรมด๊าธรรมดา (เสียงสูง) แต่มีร้านอาหารฝรั่งเศส ที่บรรยากาศรอบข้างไม่น่าจะมีร้านอาหารในลักษณะนี้ได้เลย คงอย่างที่คนเค้าพูดไว้ “จริงหรือไหม ถ้าอาหารอร่อย ถึงไกลแค่ไหนคนก็ตามไปชิม” (เค้าไหนอันนี้ก็ไม่ทราบเหมือนกัน คือจำมาอีกที ) Cuisine de garden เป็นอาหารที่ผสมผสานระหว่างวิทยศาสตร์และศิลปะ ที่คนทำบรรจงตกแต่งและพิถีพิถันในการทำลงไปในแต่ละจาน แหม หน้าตาอาหารแบบนี้ก็โดนใจ คนชอบถ่ายรูป ก่อนทานอาหารแบบเราเลยนะสิ ส่วนเรื่องรสชาติอาหาร ไม่ค่อยถนัดแนวนี้เท่าไหร่นัก แต่ก็พอทานได้ แต่สำหรับคนที่ชอบอาหารแนวนี้ ก็คงต้องขอแนะนำที่นี่ ว่าถ้ามาเชียงใหม่แล้วไม่ควรพลาด เพิ่มเป็นหนึ่งที่ในเชียงใหม่ลิซ กันเลยทีเดียว

Save

Save

Save

Save

หลังจากจบมื้อค่ำ เราก็ได้เดินทางต่อไปที่ถนนคนเดินเชียงใหม่ ติดกับประตูท่าแพ เรามีเวลาในการเลือกซื้อ และเลือกชมสินค้าและอาหารที่ตลาดพอสมควร มีนักท่องเที่ยวมาที่นี่มากมาย พื้นที่ของถนนคนเดินมีพื้นที่ยาวเริ่มต้นจากประตูท่าแพไปถึงที่วัดพระสิงห์ กิจกรรมตอนนี้ก็เหมือนเคย เก็บภาพความประทับใจกลับบ้านและซื้อของฝากติดไม้ติดมื้อกลับบ้าน แอบกังวลอยู่ว่า จะหาพื้นที่ในกระเป๋าเดินทางตรงไหนยัดของฝากพวกนี้นะ 🙂

วันที่สามของการเดินทางที่เชียงใหม่ ตื่นหกโมงเช้าเพื่อมาทานอาหารที่ห้องอาหารของโรงแรม วันนี้ทานไม่ได้มากสักเท่าไหร่ เพราะเก็บสะสมมาตั้งแต่ทริปในวันแรก เช้านี้เลยขอทานแบบเบา ๆ ก่อนจะเดินทางตามโปรแกรมที่เตรียมไว้สำหรับวันนี้ (ดูได้จากรูปภาพประกอบคือเบามากเลยจริง ๆ :p )

หลังจากทารอาหารเช้ากันเรียบร้อย ทางทีมงานและบล็อกเกอร์ทุกท่าน เช็คเอ้าท์จากโรงแรมและเดินทางต่อไปที่ Queen Sirikit Botanic Garden สวนพฤกษศาสตร์สมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ 

ทริปที่สองของวัน เราเดินทางกันไปต่อที่ ดอยม่อนแจ่ม หมอกขาว ฟ้าใส และขุนเขาเขียว ๆ

ระหว่างทางขึ้นดอยม่อนแจ่ม ถนนค่อนข้างคดเคี้ยวและต้องผ่านเนินสูงอยู่หลายจุด เริ่มมีอาการเมารถนิดหน่อย แต่พอมาถึงดอยม่อนแจ่ม ก็ลืมอาการเมารถไปจนหมด และเริ่มกิจกรรมแรกกันทันที โดยทุกคนได้ลองเป็นเด็กแว๊น อุ้ยไม่ใช่สิ นักแข่งฟอร์มูลล่าม้ง กันอย่างสนุกสนาน อากาศที่นี่กำลังสบายๆ มีลมหนาวบ้างเล็กน้อย มีหมอกลงให้เห็นในตอนกลางวันตัดกับท้องฟ้าสีฟ้าครามและ ภูเขาสีเขียว ถ้าได้นอนพักกินลมหนาว และชมดาวที่นี่สักคืนคงดีไม่น้อย (แอบฝันกลางวันเบาๆ)

หSave

Save

Save
เราแวะทานอาหารกลางวันกันที่ ร้านอาหารบ้านม่อนม่วน บรรยากาศดี และอาหารอร่อย ทริปนี้ต้องขอบอกเลยว่า กลับไปมีอ้วนแน่นอน ต้องให้ล้านไลด์กับทีมงาน TATNewsroom สำหรับโปรแกรมการท่องเที่ยวที่อัดแน่นด้วยคุณภาพ ความประทับใจ รวมถึงการเพิ่มปริมาณแคลลอรี่ในร่างกายอีกด้วย

เวลาแห่งความสุข และอิ่มหนำสำราญผ่านไปไวเหมือนโกหก ถึงเวลากลับกรุงเทพแล้ว และก็เช่นเคยเราเดินทางกลับด้วย สายการบินไทยสไมล์ Thai Smile Airways  แอบมีเสียวเล็กน้อย ขณะที่เครื่องกำลังแลนดิ้งอากาศบนท้องฟ้าไม่ค่อยเป็นใจเท่าไหร่ ทำให้กัปตันต้องวนเครื่องบิน อยู่เหนือสนามบินสุวรรณภูมิอยู่หลายรอบ ทำให้เลทไปเกือบหนึ่งชั่วโมง แต่ทุกคนก็ถึงสนามบินสุวรรณภูมิด้วยความปลอดภัย

และอีกหนึ่งความประทับใจที่ TATNewsroom มอบให้กับบล็อกเกอร์ทุกท่าน คือ Farewell Dinner ที่ Octave Rooftop Lounge & Bar Marriott Hotel Sukhumvit

Octave Rooftop Lounge and Bar Bangkok Marriott Hotel Sukhumvit

ขอบคุณคุณแม่ Genevieve Pendrageon ที่ให้ติดตามมาในครั้งนี้ ขอบคุณทีมงาน TATNewsroom ทุกท่าน ที่ทั้งน่ารักดูแลเอาใจใส่ทุกคนอย่างดีตลอดทริป ก็หวังไว้ว่าทริปจบแต่มิตรภาพไม่จบนะคะ

Save

Save

Save

Save

Save

Save

Save

Save

Save

Save

Save

Save

Save

Save

Save

Save

Save

Save

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *

error: Content is protected !! แชร์ได้แต่ห้ามก็อปนะจ๊ะ